เจมี่ วาร์ดี้ : Jamie Vardy

ประวัติ วาร์ดี้

เจมี่ วาร์ดี้ (Jamie Vardy) ชื่อเต็ม เจมี่ ริชาร์ด วาร์ดี้ (Jamie Richard Vardy) เกิดวันที่ 11 มกราคม 1987 ที่เมือเชฟฟิลด์ เซาท์ยอร์คเชียร์ เติบโตในครอบครัวชนชั้นกลาง สูง 178 เซนติเมตร หรือ 5 ฟุต 10 นิ้ว ตำแหน่งที่เล่นคือกองหน้า และถือสัญชาติอังกฤษ ในช่วงวัยเด็กของ เจมี่ วาร์ดี้ สื่อเป็นภาพสะท้อนอย่างแท้จริงของความทุกข์ทรมานความเจ็บปวดความอดทนและการเอาชนะ ในเรื่องราว “Rags to Riches” ของกลุ่มคนงานในโรงงานที่เปลี่ยนแปลงเป็นซุปเปอร์ซีโร่ฟุตบอล ด้วยความรักและหลงไหลในลูกฟุตบอล เจมี่ วาร์ดี้ ก็ตัดสินใจเลือกอาชีตนักฟุตบอล แล้วทางพ่อแม่ก็สนับสนุนอย่างเต็มที่

เจมี่ วาร์ดี้ สต๊อกส์บริดจ์ พาร์ค สตีลส์

ด้วยรูปร่างที่ไม่ได้รับความนิยมมากนักสำหรับตำแหน่งกองหน้า เลยทำให้ เจมี่ วาร์ดี้ ต้องออกไปเล่นกับสโมสรนอกลีกอย่าง สต๊อกส์บริดจ์ พาร์ค สตีลส์ (Stocksbridge Park Steels) ด้วยวัยเพียง 16 ปี หลังจากโดนสโมสร เชฟฟีลด์ เวนส์เดย์ ปล่อยตัว นั่นเลยเป็นจุดเปลี่ยนให้ เจมี่ วาร์ดี้ พัฒนาตัวเองจนทำผลงานได้ต่อเนื่อง และสามารถผลักดันตัวเองขึ้นไปติดทีมชุดสำรองได้สำเร็จ แล้วในปี 2007 ก็ได้รับโอกาสจาก แกรี่ มาร์โรว์ ให้ขึ้นมาติดชุดใหญ่ พร้อมกับได้ค่าเหนื่อย 30 ปอนด์ต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ เจมี่ วาร์ดี้ ยังทำงานในโรงงานขาเทียมควบคู่ไปด้วย เลยทำให้มีรายได้จุนเจือในครอบครัว จากผลงานที่โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเป้าหมายของทีมอื่นมากมาย แล้วในปี 2009 ก็ได้มีโอกาสเข้าไปทดสอบฝีเท้ากับ ครูว์ อเล็กซานดร้า แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่ได้รับการเซ็นสัญญา แถมยังปฏิเสธสัญญาระยะสั้นกับร็อตเตอร์แฮมด้วย

วาร์ดี้ ฮาลิแฟกซ์ ทาวน์

พอมาถึงเดือนมิถุนายน 2010 นีล แอสปิน ผู้จัดการทีมของ ฮาลิแฟกซ์ ทาวน์ ให้ความสนใจและชื่นชมผลงานในตัว เจมี่ วาร์ดี้ มายาวนาน เลยยื่นข้อเสนอเซ็นสัญญาด้วยค่าตัว 15,000 ปอนด์ แล้วการก้าวเข้ามาสู่สโมสรใหญ่อย่าง ฮาลิแฟกซ์ ทาวน์ ก็ทำให้ เจมี่ วาร์ดี้ สามารถทำประตูชัยให้กับทีสโมสรตั้งแต่เกมแรกที่ลงประเดิมสนาม หลังจากนั้นก็ประสบความสำเร็จมากกมายจากการทำประตูถล่มทลายไป 27 ประตู แล้วยังได้รับคัดเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำสโมสรด้วย นอกจากนี้ เจมี่ วาร์ดี้ ยังช่วยให้ต้นสังกัดเลื่อนชั้นขึ้นสู่ นอร์เทิร์น พรีเมียร์ลีก พรีเมียร์ ดิวิชั่น ได้อีก และผลงานการเล่นของ เจมี่ วาร์ดี้ ก็พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากทำไป 3 ประตูจาก 4 เกมแรกของซีซั่น 2011-2012 ก่อนที่จะถูกทางสโมสร ฟลีตวู้ด ทาวน์ ดึงตัวมาร่วมทีมทันที แบบไม่มีการเปิดเผยค่าตัว เมื่อจบซีซั่นดังกล่าว เจมี่ วาร์ดี้ ก็กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดของลีก และยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ คอนเฟอเรนซ์ เนชั่นแนล ประจำเดือน พฤศจิกายน ด้วยสถิติ 36 เกม 31 ประตู

วาร์ดี้ เลสเตอร์ ซิตี้

จากผลงานที่โดดเด่นกว่านักเตะอื่นเลยไปสะดุดตาทีมงานแมวมองของ เลสเตอร์ ซิตี้ (Leicester City) ก่อนที่จะทาบทามและเจรจาจนได้ร่วมทีมกันด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นค่าเหนื่อยที่เยอะกว่าที่เคยได้รับมา เลยทำให้ เจมี่ วาร์ดี้ เริ่มใช้ชีวิตในช่วงวัยรุ่นมากขึ้นด้วยการดื่มเหล้าดื่มเบียร์และท่องเที่ยวผับมากมาย จนมีสภาพร่างกายที่ไม่ฟิตสมบูรณ์ บางทีก็อยู่ในอาการเมาแล้วเข้ามาซ้อมกับเพื่อนร่วมทีม ส่งผลให้ คุณต๊อบ อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ตัดสินใจเข้าพบกับ เจมี่ วาร์ดี้ เป็นการส่วนตัว โดยได้พูดว่า “ถ้าต้องการความสนุกและความสุขแบบนี้จริงๆ แล้วยอมจบเส้นทางอาชีพนักฟุตบอลเพียงอายุแค่นี้จริงๆ ใช่ไหม หากใช่และต้องการ หลังจากหมดสัญญาฉบับนี้จะไม่ทำการต่อสัญญาฉบับใหม่ให้” ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ก็ทำให้ เจมี่ วาร์ดี้ คิดได้และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จากการเลิกดื่มแล้วหันกลับมาตั้งใจฝึกซ้อมมากขึ้นกว่าเดิม แม้ว่าช่วงซีซั่นแรกในสีเสื้อเลสเตอร์ เจมี่ วาร์ดี้ ยังทำผลงานได้ไม่ดีนักหลังจากทำไป 5 ประตูจาก 29 กม แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ได้พัฒนาขึ้นตามลำดับ ในซีซั่นต่อมา เจมี่ วาร์ดี้ สามารถทำได้ 16 ประตูจาก 41 เกม และก็เป็นจิ๊กซอว์ตัวสำคัญที่ช่วยให้ เลสเตอร์ ซิตี้ หวนคืนสู่เวทีระดับประเทศอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ในฐานะทีมแชมป์แชมเปี้ยนชิพ ภายใต้การคุมทีมของ ไนเจล เพียร์สัน ในช่วงซีซั่นแรกบนลีกสูงสุดสโมสรประสบปัญหาอย่างหนักกับระบบการเล่น เช่นเดียวกันกับทาง เจมี่ วาร์ดี้ ที่ทำได้เพียง 5 ประตูจาก 34 เกม แต่ถึงอย่างไรแล้ว เจมี่ วาร์ดี้ ก็ทำให้แฟนบอลทั่วสนามและเหล่าสต๊าฟโค้ชประทับใจด้วยการพา เลสเตอร์ ซิตี้ ถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป 5 ประตูต่อ 3 ทั้งๆที่โดนนำก่อนด้วยสกอร์ 1 ประตูต่อ 3

วาร์ดี้ เลสเตอร์ ซิตี้ แชมป์พรีเมียร์ลีก

ส่วนซีซั่นถัดมา เลสเตอร์ ซิตี้ ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมของ ไนเจล เพียร์สัน แล้วทางสโมสรก็ได้แต่งตั้งผู้จัดการทีมมากประสบการณ์อย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ เข้ามารับตำแหน่งแทน และในปีนั้น เจมี่ วาร์ดี้ ก็ได้สร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองด้วยการทำประตู 11 เกมติดต่อกัน เลยทำให้ลบล้างสถิติเดิมของ รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เคยทำไว้ 10 เกมในปี 2003 แล้ว เจมี่ วาร์ดี้ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะลดความร้อนแรงลงแต่อย่างใด จากการทำไป 22 ประตู แล้วก็ถูกโหลดให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของสมาคมผู้สื่อข่าว ส่วนในช่วงเดือนพฤษภาคม เจมี่ วาร์ดี้ ถูกแบบเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ หรือ 2 เกม เนื่องจากการแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสมในเกมที่พบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ส่งผลให้ เจมี่ วาร์ดี้ พลาดเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ซันเดอร์แลนด์ แล้วการกลับคืนสู่ทีมในเกมที่พบกับเอฟเวอร์ตัน แล้วก็ได้สร้างนิยายของตัวเองได้เสร็จสมบูรณ์ด้วยการทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นได้ ด้วยการพาทีมเต็ง 1 ที่กำลังจะตกชั้นในซีซั่นก่อน ก่อนที่จะขึ้นมาผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์สโมสร และในความสำเร็จครั้งนี้ เจมี่ วาร์ดี้ ก็มีส่วนสำคัญต่อสโมสรเป็นอย่างมาก จากการทำไป 24 ประตู จาก 36 เกม แล้วดาวยิงมหากาฬก็ได้มากอนาคตกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ต่อไป พร้อมกับเซ็นสัญญาฉบับใหม่อย่างเป็นทางการออกไปอีก 4 ปี จนถึงปี 2022 ถ้าย้อนไปดูตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา เจมี่ วาร์ดี้ สามารถช่วยสโมสรคว้าแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ และ พรีเมียร์ลีก ได้ อย่างละ 1 สมัย จากการลงเล่นทั้งหมด 234 เกม นอกจากนี้ยังทำประตูให้กับสโมสรไปแล้ว 88 ประตู นับว่าเป็นอันดับดาวซัลโวสูงสุดตลอดของสโมสร แล้วถ้าหาก เจมี่ วาร์ดี้ อยู่กับสโมสรจนครบสัญญาฉบับใหม่ก็เท่ากับว่าเจ้าตัวอยู่กับสโมสรยาวนานถึง 10 ปี พอดิบพอดี และในช่วงซีซั่น 2018-19 เจมี่ วาร์ดี้ ก็ได้ทำลายสถิติของสโมสรจากการทำประตูสูงสุดตลอดกาลของ แกรี่ ลินิเกอร์ ที่ทำไว้ 103 ประตู ก่อนที่ เจมี่ วาร์ดี้ จะมาทำไป 107 ประตูรวมทุกรายการ และมีสิทธิที่จะพุ่งขึ้นอีก

วาร์ดี้ อังกฤษ

ช่วงเวลาในการลงให้กับทีมชาติอังกฤษไม่ได้มากมาย และก็ได้ออกมายันยืนกับทางผู้จัดการทีมชาติอย่าง แกเร็ธ เซาธ์เกต แล้ว ว่า เจมี่ วาร์ดี้ แสดงถึงเจตจำนงค์ที่ตัดสินใจที่จะเลิกเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักเตะรุ่นน้องและนักเตะดาวรุ่ง ได้เข้ามารับใช้ชาติแทน เจมี่ วาร์ดี้ ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษครั้งแรกเมื่อปี 2015 และก็ได้สร้างความประทับใจในตัวเอง จากการลงเล่นเพียง 26 เกม ด้วยการทำไปทั้งหมด 7 ประตู